Drew Struzan ดูรว์ สตูแซน เกิดเมื่อพฤษภาคม 1947 ศึกษาที่ Art Center College of Design เมืองเวสต์ลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย เขาเลือกระหว่างศิลปะ หรือภาพประกอบ เมื่ออธิบายถึงเส้นทางอาชีพทั้งสองนี้ เขากล่าวว่า ในฐานะศิลปิน เขาสามารถวาดภาพในสิ่งที่ต้องการได้ แต่ในฐานะนักวาดภาพประกอบ เขาสามารถวาดภาพเพื่อเงินได้ ดูรว์ เลือกที่จะเป็นนักวาดภาพประกอบ โดยกล่าวว่า “ฉันต้องกิน”
เมื่อเริ่มต้นอาชีพ ดรูว์กล่าวว่า “ผมยากจน และหิวโหย และการวาดภาพประกอบเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุดในการได้ขนมปังหนึ่งแผ่น เมื่อเทียบกับการไปแสดงผลงานในแกลเลอรี่ ผมไม่มีอะไรเลยตอนเป็นเด็ก ผมวาดรูปบนกระดาษชำระด้วยดินสอ ซึ่งเป็นกระดาษชนิดเดียวที่มีขายอยู่ในตอนนั้น เหตุผลที่ผมรักการวาดภาพมากจนถึงทุกวันนี้ก็เพราะว่ามันคือสิ่งเดียวที่ผมมีในตอนนั้น”
อาชีพในช่วงแรกของเขาเริ่มต้นขึ้นในฐานะศิลปินของสตูดิโอออกแบบ Pacific Eye & Ear (PEE) ซึ่งออกแบบปกอัลบั้มภายใต้การดูแลของ เออร์นี่ เชฟาลู เขาชื่นชอบด้านความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบบรรจุภัณฑ์แผ่นเสียง ในช่วง 5 ปีที่เขาอยู่กับ PEE เขาได้ออกแบบปกอัลบั้มให้กับศิลปินมากมาย รวมถึง The Beach Boys, Bee Gees, Roy Orbison, Black Sabbath, Glenn Miller, Iron Butterfly, Alice Cooper, Bach, Earth, Wind and Fire และ Liberace นอกจากนี้ นิตยสาร Rolling Stone ยังจัดอันดับปกอัลบั้ม Welcome to My Nightmare ของ Alice Cooper ไว้ในรายชื่อ 100 ปกอัลบั้มยอดนิยมตลอดกาลอีกด้วย
ในปี 1977 เขาได้ร่วมกับ ชาร์ลส ไวท์ที่ 3( Charles White III) สร้างสรรค์ผลงาน Style ‘D’ สำหรับ Star Wars ชาร์ลส ได้รับการว่าจ้างจาก เดวิด ไวซ์เนอร์ รองประธานฝ่ายโฆษณาของ 20th Century Fox ให้ออกแบบโปสเตอร์สำหรับ Star Wars อย่างไรก็ตาม ชาร์ลส รู้สึกไม่ถนัดกับการวาดภาพบุคคล จึงขอความช่วยเหลือจาก ดูรว์ ให้วาดภาพตัวละครมนุษย์ด้วยสีน้ำมัน ส่วน ชาร์ลส ก็เน้นไปที่ Darth Vader, C3-PO และรายละเอียดอื่นๆ ในโปสเตอร์
การออกแบบที่ไม่เหมือนใครของ Star Wars Style ‘D’ (ใบปิดนี้ออกมาตอนครบรอบ 1 ปี และมีการนำกลับมาฉายใหม่ ปี 1978) ทำให้โปสเตอร์นี้โดดเด่น แตกต่างจากโปสเตอร์อื่นๆ ที่มักมีพื้นหลังเป็นสี โปสเตอร์นี้ดูเหมือนจะมีขอบฉีกขาดคล้ายกับโปสเตอร์ที่ติดไว้บนป้ายโฆษณา ดูรว์ อธิบายว่าแนวคิดการออกแบบนี้ “เป็นความจำเป็นที่คิดค้นสิ่งนี้ขึ้นมา” เขากล่าวต่อ “พวกเขาพบว่าไม่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับตัวอักษร เครติดทีมงานต่างๆ เช่นเดียวกับใบปิดหนังทั่วไป เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อเพิ่มพื้นที่ว่างบนโปสเตอร์ที่พิมพ์ไปแล้ว ลองแกล้งทำเป็นว่ามีโปสเตอร์เก่าถูกติดไว้ จากนั้นพวกเขาจะวางตัวอักษรไว้ด้านล่างโปสเตอร์จริง เราทาสี ตรงที่ปะรูปObi Wan ให้ดูเหมือนเป็นผนังที่เคยมีโปสเตอร์ติดอยู่ แล้วลอกทิ้งไม่หมด มีโปสเตอร์ชิ้นใหม่มาปะทับ เลยทำให้โปสเตอร์นี้กว้างและมีมิติมากขึ้น”
เมื่อชื่อเสียงของ ดูรว์ สตูแซน เพิ่มมากขึ้น เขาก็เริ่มสร้างงานศิลปะให้กับภาพยนตร์อีกหลายเรื่องในช่วงทศวรรษ 1980 รวมถึง Blade Runner, The Thing, The Cannonball Run, หนังแฟรนไชส์ Police Academy, Back to the Future, E.T. the Extra-Terrestrial, The Muppet Movie, Coming to America, First Blood, Risky Business, D.C. Cab, Stroker Ace, Batteries not Included, An American Tail, Indiana Jones, Back to the Future และ Star Wars นอกจากนี้ ก็ยังมีหนังอีก เช่น Big Trouble in Little China, The Goonies และHarry Potter and the Sorcerer’s Stone
ในช่วงเวลานี้เองที่ความสัมพันธ์ระหว่าง ดรูว์และจอร์จ ลูคัสเริ่มต้นขึ้น เขาเป็นผู้ออกแบบโลโก้ดั้งเดิมให้กับบริษัท Industrial Light & Magic ของลูคัส และต่อมาก็ได้ออกแบบงานศิลปะสำหรับแฟรนไชส์ Star Wars และ Indiana Jones สำหรับการเปิดตัวภาคก่อนของ Star Wars เรื่อง The Phantom Menace จอร์จ ลูคัสได้เพิ่มเงื่อนไขในสัญญาที่ระบุว่างานศิลปะของดรูว์เป็นผลงานชิ้นเดียวที่ผู้จัดจำหน่ายในต่างประเทศสามารถใช้ได้ และนอกจากข้อความแล้ว จะไม่สามารถทำการแก้ไขใดๆ เพิ่มเติมได้อีก
ดูรว์ สตูแซน เกษียณจากการผลิตงานศิลปะในปี 2008 ผลงานชิ้นสำคัญชิ้นสุดท้ายของ ดูรว์ ก่อนจะเกษียณคือภาพยนตร์เรื่อง Pan’s Labyrinth ของกีเยร์โม่ เดล โตโร เขาวาดโปสเตอร์เป็นภาษาอังกฤษก่อนจะดูภาพยนตร์เรื่องนี้ “กีเยร์โม่ ฉายหนังให้ฉันดูเป็นภาษาสเปน” เขากล่าว “ฉันไม่เข้าใจสักคำ แต่ กีเยร์โม่ บอกว่าภาพยนตร์ที่สมบูรณ์แบบคือภาพยนตร์ที่บอกเล่าผ่านภาพ ไม่ใช่ผ่านคำพูด” โปสเตอร์ก็เช่นกัน “งานของฉัน” ดูรว์ กล่าว “คือการถ่ายทอดจิตวิญญาณของภาพยนตร์และความรู้สึก ผู้คนจะรับชมเพราะพวกเขาต้องการสัมผัสถึงอารมณ์นั้น มันจะกลายเป็นสัญลักษณ์เมื่อพวกเขาสามารถสัมผัสถึงความรู้สึกนั้นได้ทุกครั้งที่ดูโปสเตอร์”
ผลงานชิ้นสุดท้ายที่เป็นที่รู้จักของเขาคือ Star Wars The Force Awakens ของเจ.เจ. อับรามส์ ซึ่งออกฉายในปี 2015 แม้ว่าจะไม่ใช่ภาพอย่างเป็นทางการของภาพยนตร์ แต่ก็เป็นโปสเตอร์โปรโมตที่ผลิตในรุ่นจำกัดและออกฉายเฉพาะสำหรับแฟนๆ ที่งาน D23 Expo 2015 เท่านั้น
By Posterman